
ใบวงเดือนมีความแตกต่างกันในเรื่องของฟันและมุมตัด ใบวงเดือนมีความแตกต่างกันในเรื่องของฟันและมุมตัด ดังนี้1. จำนวนฟัน (Number of Teeth)ใบเลื่อยที่มีฟันมาก จะให้รอยตัดที่เรียบเนียนและละเอียด เหมาะกับงานที่ต้องการความประณีต แต่จะตัดช้ากว่า ใบเลื่อยที่มีฟันน้อย จะตัดได้เร็วกว่า เหมาะกับงานตัดหยาบ หรือตัดวัสดุจำนวนมากในเวลาสั้น ๆ แต่ผิวตัดจะหยาบกว่า 2. รูปร่างฟัน (Tooth Shape)Flat Top Grind (FTG) หรือฟันแบบปลายเรียบ เหมาะกับการตัดหยาบและการโกรกไม้ เพราะคายเศษวัสดุได้เร็ว Alternate Top Bevel (ATB) หรือฟันแบบเอียงสลับซ้าย-ขวา ให้รอยตัดเรียบและละเอียดขึ้น เหมาะกับงานตัดขวางและงานที่ต้องการคุณภาพผิวตัดสูง High Alternate Top Bevel (High ATB) มีมุมเอียงสูงกว่าปกติ ทำให้รอยตัดเรียบมากขึ้นและลดการบิ่น Combination (ATBR) รวมฟันแบบ ATB และ FTG เพื่อให้ได้ทั้งความเรียบและการกำจัดเศษวัสดุที่ดี Triple-Chip Grind (TCG) ฟันผสมระหว่างสี่เหลี่ยมและคางหมู เพิ่มความทนทาน เหมาะกับวัสดุแข็งและโลหะ 3. มุมคมตัด หรือ มุมองศา (Hook or Rake Angle)มุมบวก (Positive hook angle) ฟันจะกัดวัสดุอย่างรวดเร็วและมีแรงดึงชิ้นงานเข้าหาใบเลื่อย (self-feeding) เหมาะกับงานตัดไม้ทั่วไป แต่มีโอกาสเกิดการปีนชิ้นงาน (climb cut) และทำให้ผิวตัดเสียหายได้ มุม 0 หรือ มุมลบ (Neutral or Negative rake angle) ฟันกัดวัสดุน้อยลง ต้องออกแรงเข็นชิ้นงานมากขึ้น แต่ช่วยลดการดีดกลับ (kickback) และเหมาะกับเลื่อยองศาหรือเลื่อยรัศมี ทำให้ผิวตัดเรียบขึ้นแต่ตัดช้ากว่า 4. มุมเอียง (Bevel Angle)มุมเอียงของฟันเลื่อยมีผลต่อการตัดและความเรียบของผิวตัด ฟันที่มีมุมเอียงสลับกัน (ATB) จะให้ผิวตัดเรียบกว่าฟันแบบปลายเรียบ (FTG) ที่ไม่มีมุมเอียง สรุปใบวงเดือนจึงมีความแตกต่างกันในเรื่องจำนวนฟัน รูปร่างฟัน และมุมคมตัด ซึ่งแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับวัสดุและลักษณะงานที่แตกต่างกัน เช่น งานตัดหยาบ งานตัดละเอียด งานตัดไม้ งานตัดโลหะ หรือวัสดุอื่น ๆ การเลือกใบเลื่อยที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของงานตัดได้อย่างมาก |
![]() ![]() |